บทความ

กำลังแสดงโพสต์จาก กรกฎาคม, 2018

ภาวะการบาดเจ็บของตับ

รูปภาพ
ตับเป็นอวัยวะที่มีขนาดใหญ่ที่สุด เป็นอันดับ 2 ของร่างกายรองจากผิวหนัง และมีหน้าที่หลายประการในร่างกาย ได้แก่ การสร้างน้ำดีเพื่อช่วยในกระบวนการย่อยไขมันการสังเคราะห์โปรตีนไข่ขาว และปัจจัยการแข็งตัวของเลือดในร่างกาย และช่วยกำจัดสารพิษต่างๆ อย่างไรก็ตามแม้ตับจะเป็นอวัยวะที่จำเป็นต่อร่างกาย แต่ตับกลับมีเพียงข้างเดียว เช่นเดียวกับหัวใจ ดังนั้นความเสียหายต่อตับย่อมสร้างความเสียหายต่อร่างกายได้อย่างมาก สาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดภาวะการบาดเจ็บต่อตับ หรือตับอักเสบนั้นเกิดจากเชื้อ ไวรัสตับอักเสบซี ในส่วนของอาการนั้นหากการบาดเจ็บของตับยังมีไม่มากผู้ป่วยมักจะไม่มีอาการอะไรหรือมีเพียงอาการอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร หรือคันโดยเฉพาะปลายมือปลายเท้าเท่านั้น และจะวินิจฉัยได้ เมื่อพบความผิดปกติจากการตรวจเลือดเท่านั้น แต่หากการบาดเจ็บของตับทวีความรุนแรงมากขึ้น ผู้ป่วยถึงจะเริ่มมีภาวะแทรกซ้อนของโรคตับ คือตัวเหลือง ตาเหลือง ท้องบวมโต ขาบวม อาเจียนเป็นเลือด อาการสับสนจากการมีสารพิษคั่งในร่างกาย ผู้ป่วยในระยะนี้มักจะมีการพยากรณ์โรคที่ไม่ดี บางรายอาจถึงขั้นเสียชีวิตได้หากไม่ได้รับการเปลี่ยนตับหรือการรักษาอย

ดูแลตัวเองเมื่อรู้ว่าเป็นโรคไวรัสตับอักเสบซี

รูปภาพ
วิธีดูแลตัวเองเมื่อรู้ว่าเป็น โรคไวรัสตับอักเสบซี มีดังนี้ งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ที่เป็นสาเหตุหลักในการทำลายตับ ระมัดระวังเรื่องการใช้ยาเพิ่มเติมจากการรักษาไวรัสตับอักเสบซี  ที่จะมีผลต่อตับโดยที่เราไม่รู้ตัว หรือหากมีอาการป่วยใดๆ ให้ปรึกษาแพทย์ที่รักษาเท่านั้น งดการรับประทานอาหารสุกๆ ดิบๆ เนื่องจากมีโอกาสเสี่ยง ต่อพยาธิที่ทำลายตับเพิ่ม งดของมัน ของทอดด้วยก็จะดีมาก ดูแลตนเอง ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ทานอาหารที่มีประโยชน์ ตรวจเช็คคนในครอบครัวว่ามีความเสี่ยงหรือแนวโน้มที่จะเป็น โรคไวรัสตับอักเสบซีหรือไม่ หากมีก็ควรรีบไปตรวจและรักษาเสียด้วยแต่เนิ่นๆ ระมัดระวังการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซีกับคนอื่น ไม่ว่าจะเป็นทางเลือดหรือการมีเพศสัมพันธ์ หมั่นไปพบแพทย์ตามนัดเสมอและทานยาให้ตรงต่อเวลา ทำสุขภาพจิตให้แจ่มใส สดชื่น มองโลกในแง่ดี เพียงเท่านี้คุณก็สามารถหายจากโรคไวรัสตับอักเสบซีและมีสุขภาพที่ดีขึ้นได้นะคะ สนใจยารักษาไวรัสตับอักเสบซีติดต่อที่นี่ Line id: thaihcv

ปัญหาเกี่ยวกับตับ

รูปภาพ
ปัญหาที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับตับ เป็นเรื่องที่ต้องให้ความสำคัญเป็นพิเศษ เพราะกระทบต่อสุขภาพร่างกาย โดยเฉพาะ ไวรัสตับอักเสบซี จะค่อนข้างใช้เวลานานกว่าที่จะแสดงอาการอะไรออกมา ทำให้คนเราชะล่าใจที่จะไม่รักษา พอมารู้ตัวอีกทีก็มีอาการค่อนข้างมาก และรักษาได้ยากเสียแล้ว ดังนั้นเพื่อความไม่ประมาท เราควรหมั่นตรวจเช็คสุขภาพตนเอง ไวรัสตับอักเสบซี ในการวินิจฉัยแรกหลังจากตรวจ การทำงานของตับ แล้วจะพบว่าค่าตับสูง ผิดปกติ หากไม่ทราบข้อมูลตรงนี้อาจทำให้ร่างกายเข้าสู่ภาวะตับอักเสบเฉียบพลัน หรือตับอักเสบเรื้อรัง และลุกลามเป็นโรคตับแข็ง หรือมะเร็งตับได้ในที่สุด ภาวะโรคไวรัสตับอักเสบซี หมายถึง ภาวะที่เซลล์ตับมีความผิดปกติ ส่งผลให้การทำหน้าที่ต่างๆ ของตับเปลี่ยนไป มีแผลลักษณะขรุขระ และอาจทำให้เป็นตับแข็งหรือมะเร็งตับได้ในอนาคตอันใกล้ ประเภทของภาวะตับอักเสบซี ตับอักเสบเฉียบพลัน อาการที่พบได้บ่อย คือ อ่อนเพลีย ปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อ คลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร ปวดท้องที่ตำแหน่งชายโครงด้านขวาจากการที่ตับโต ปัสสาวะสีเข้ม ตัวเหลือง ตาเหลือง มีสาเหตุจากเชื้อไวรัสตับอักเสบ ซี และตับอักเสบเรื้อรังจากไวรัสตับอ

ผลของการรักษาไวรัสตับอักเสบซี

รูปภาพ
ปัญหาส่วนใหญ่ของผู้ที่ป่วย เป็นโรค ไวรัสตับอักเสบซี  นั้นมักจะไม่มีอาการใดใดให้ เอะใจและไปตรวจเจอเชื้อนั่น เองค่ะ จึงทำให้ไม่ได้รับการรักษาเ สียแต่เนิ่นๆ พร้อมทั้งผู้ที่ต้องการรักษ าไวรัสตับอักเสบซียังไม่สาม ารถเข้าถึงยาที่ไปฆ่าเชื้อโ ดยตรงได้ จึงไม่ได้เริ่มดำเนินการรัก ษาอย่างจริงจังหรือถูกต้องต ามสภาพร่างกายของตน ทั้งที่ตัว ยารักษาไวรัสตับอักเสบซี  สามารถทำให้หายขาดจากโรคได้ เพียงระยะเวลา 84 วัน ในบางรายไ ม่จำเป็นต้องตรวจหาปริมาณแล ะสายพันธ์ของไวรัสตับอักเสบ ซีเสียด้วยซ้ำ เพราะสามารถเริ่มรักษาได้จา กการทานยาไวรัสตับอักเสบซี  ที่เป็นสูตรรักษาได้ทุกสายพ ันธ์ เพราะฉะนั้นหากเข้าข่ายติดเ ชื้อควรรีบตรวจคัดกรองเสียแ ต่แรกเริ่ม และปรึกษาคุณหมอหรือผู้เชี่ ยวชาญเกี่ยวกับโรคไวรัสตับอ ักเสบซีหลายๆ ทางเพื่อประโยชน์ในการรักษา ของตัวเราเองค่ะ ผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบซี หากทำการรักษาแล้วพบว่า การตรวจเจอเชื้อไวรัสตับอัก เสบซีแทบจะไม่พบ โอกาสในการเกิดตับแข็ง ตับวาย และมะเร็งตับลดลงเป็นอย่างม าก สามารถมีชีวิตได้อย่างยืนยา วเช่นคนปกติ ลดการเกิดผังผืดในตับ ในบางรายที่พบว่ามีภาวะตับแ ข็งก่อนกา

การรักษาไวรัสตับอักเสบซีแบบเก่า

รูปภาพ
ผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบซีส่วนใหญ่ มักจะมีอาการของตับอักเสบ ปรับลดลงมาสู่ในภาวะปกติ หรือมีค่าลดลงมากกว่าครึ่งหนึ่งภายใน 1-2 เดือนหลังจากการเริ่มรักษา เช่น ก่อนการรักษาวัดจำนวนเชื้อแล้วมี 500,000 copy หลังทำการรักษาเชื้อลดลงเหลือ 250,000 copy เป็นต้น โดยประเมินได้จากผลเลือดที่ใช้ค่าการทำงานของตับ SGOT (AST) และ SGPT (ALT) แต่ปัจจัยที่สำคัญของผลสำเร็จในการรักษาไวรัสตับอักเสบซี คือ การตรวจไม่พบเชื้อ HCV-RNA และติดตามไปเป็นเวลากว่า 7 ปี หากยังไม่พบเชื้อไวรัสตับอักเสบซีก็สามารถวางใจได้  ซึ่งการรักษาไวรัสตับอักเสบซี จะใช้ระยะเวลาที่แตกต่างจากการรักษาไวรัสตับอักเสบบี เพราะอัตราการกลับมาเป็นซ้ำของไวรัสตับอักเสบบี มีสูงกว่าร้อยละ 30 ของผู้ป่วยทั้งหมด แต่ก็ไม่ใช่ว่าไวรัสตับอักเสบซีจะไม่กลับมาเป็นซ้ำ หากผู้ป่วยที่เคยหายขาดแล้วไปรับเชื้อมาใหม่ ก็มีโอกาสป่วยซ้ำได้ ซึ่งการรักษาแบบเดิมของไวรัสตับอักเสบซี คือการฉีดยาอินเตอร์เฟอรอน (Interferon) ร่วมกับการทานยาไรบาไวริน (Ribavirin) ซึ่งตัวยาเหล่านี้ มีผลข้างเคียงแก่ผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบซีเป็นอย่างมาก เพราะข้อจำกัดของยาฉีดที่สามารถดูดซึมเข้าส

การวินิจฉัยโรคไวรัสตับอักเสบซี

รูปภาพ
การวินิจฉัยความเป็นไปได้ ของโรคไวรัสตับอักเสบซี โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะเริ่มจากการตรวจการทำงานของตับ (Liver function tests (LFTs หรือ LFs)) เพื่อให้ได้มาซึ่งข้อมูลที่เกี่ยวกับสถานะของตับของผู้ป่วย โดยพบว่ากว่า 70% ของคนที่เป็นโรคตับอักเสบเรื้อรัง จากไวรัสตับอักเสบซี จะมีความผิดปกติของค่าการทำงานของตับ หรือค่า SGOT (AST) และค่า SGPT (ALT) โดยมีค่าสูงในช่วง 1.5-8 เท่าของค่าปกติ ที่ควรจะน้อยกว่า 40 IU/mL  จากนั้นแพทย์จะทำการตรวจเลือดเพื่อหา Antibody ต่อไวรัสตับอักเสบซี (Anti-HCV) ถ้าให้ผลบวก นั่นหมายถึงว่า คุณมีภูมิต่อเชื้อไวรัสตับอักเสบซี ซึ่งการตรวจนี้อาจเป็นผลบวกปลอมก็เป็นได้ เพราะฉะนั้นกลุ่มที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซี และอาการอักเสบของตับที่เรื้อรัง การตรวจค่า Anti-HCV ให้ผลบวกก็สามารถระบุได้แน่ชัดประมาณ 90% ว่าเป็นโรคไวรัสตับอักเสบซีเรื้อรัง แต่ต้องระวังสำหรับผู้ที่ไม่ใช่กลุ่มเสี่ยงในการติดเชื้อและไม่มีการทำงานของตับที่ผิดปกติ ถ้าตรวจเจอ Anti-HCV เป็นบวก โอกาสที่จะเป็นโรคไวรัสตับอักเสบซีจริงมีเพียง 50-60% เท่านั้น เพราะฉะนั้นหากตรวจเจอก็ยังไม่สามารถสรุปว่าเป็นโร

HCV Genotype

รูปภาพ
HCV Genotype คือ สายพันธุ์ของ ไวรัสตับอัก เสบซี ที่สามารถค้นพบได้แตกต่าง กันทั่วโลก โดยสายพันธุ์ที่แตกต่างกันน ี้ ตั้งแต่สายพันธุ์ 1-6 จะมีผลต่อการตอบสนองในกา รรักษา การเลือกใช้ตัวยา และการดำเนินของโรคไวรัสตับอักเสบซี โดยอาการของผู้ป่วยไวรัสตับ อักเสบซีแบบเฉียบพลันนั้น ส่วนใหญ่มักจะไม่มีอาการให้สังเกตุเป็นจุดเด่นแสดงออกชัดเจน หรือมีเพียง 20-30% เท่านั้นที่ผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบซี จะมีอาการตัวเหลือง ตาเหลือง หรือที่เรียกว่าโรคดีซ่าน คล้ายกับผู้ป่วยไวรัสตับอัก เสบซีเรื้อรัง ที่ช่วงแรกมักไม่มีอาการใดๆ  ให้เห็นอย่างเด่นชัดเช่นกัน  ทางการแพทย์ จึงเรียกโรคนี้ว่าเป็นภัยเงียบที่คลืนคลานเข้ามาโดยไม่รู้ตัว จนเมื่อโรคได้ดำเนินไปมากแล้ว  ผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบซีจะเริ่มม ีอาการอ่อนเพลียง่าย ไม่มีเรี่ยวแรงในการทำงาน เหนื่อยหอบ อยากนอนพักหรือนอนหลับหลายชั่วโมงผิดปกติ ในบางรายอาจมีอาการคลื่ นไส้อาเจียน เบื่ออาหาร ที่เคยชอบทานก็ไม่อยากทานอีก ปวดท้องบริเวณใต้ชายโครงขวา และมีอาการคันในส่วนต่างๆ ของร่างกาย ในผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบซีบ างรายที่มีอาการตับแข็งร่วม ด้วย จะมีอาการท้องมานเพิ่มด้วย ทั

จะเกิดอะไรขึ้นหากไม่รักษาไวรัสตับอักเสบซี

รูปภาพ
ผู้ป่วย ไวรัสตับอักเสบซี เมื่อรู้ตัวว่าติดเชื้อแล้ว แต่ไม่ได้รับการรักษา จะด้วยเหตุผลใดก็ตามแต่นั้น เช่น ไม่สามารถหา ยารักษาไวรัสตับอักเสบซี ได้ หรือแพทย์ไม่ทำการรักษาให้ หรือเกิดจากการแพ้ยาต่างๆ จากการวิจัยแล้วพบว่า ไวรัสตับอักเสบซี มีผลต่อการลดลงของช่วงอายุในผู้ป่วยที่ติดเชื้อมาแล้วอีกด้วย หากติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซีในช่วงอายุ 30 ปี จะทำให้อายุขัยลดลงได้ถึง 7-17 ปีเลยทีเดียว  กล่าวคือคนที่ป่วยเป็นไวรัสตับอักเสบซี มีสิทธิเสียชีวิตก่อนวัยอันควร ด้วยอัตราเสี่ยงต่อโรค ตับแข็ง และ มะเร็งตับ มากขึ้น โดยเฉพาะผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบซีที่เป็นเพศชาย ที่อายุมากกว่า 60 ปีขึ้นไป และมีภาวะตับแข็งหรือผังผืดเกาะตับ หรือเป็นชายอ้วนลงพุง มี ไขมันพอกตับ อยู่พอสมควร รวมทั้งดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นจำนวนมากต่อวัน เพราะฉะนั้นอย่าชะล่าใจ เพราะโรคไวรัสตับอักเสบซีสามารถรักษาให้หายขาดได้ ถึงแม้ตัวไวรัสจะไม่หมดจากร่างกาย แต่เมื่อเชื้อไวรัสตับอักเสบซีเหลือน้อยมากๆ แล้วก็ไม่อาจทำอันตรายใดๆ ต่อร่างกายได้ แต่หากปล่อยไว้ไม่รักษา อาจลุกลามกลายเป็นโรคร้ายในอนาคตได้ สนใจยารักษาไวรัสตับอักเสบซี

แอลกอฮอล์กับไวรัสตับอักเสบซี

รูปภาพ
ผู้ป่วย ไวรัสตับอักเสบซี บางกลุ่ม มีการดำเนินของโรคที่เป็นอยู่ค่อนข้างรวดเร็วมาก เช่น การติดเชื้อในวัยที่อายุมากกว่า 50 ปี จะใช้เวลาเพียง 9-10 ปีที่ทำให้โรคไวรัสตับอักเสบซี พัฒนาไปเป็นโรคตับแข็ง โดยเฉพาะในรายที่ดื่ม  เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เป็นประจำ โดยมีการวิจัย ค้นพบว่า จากการศึกษากลุ่มตัวอย่างกว่า 100,000 รายจากประเทศอิตาลี โดยจะมีโอกาสเกิดตับแข็งและมะเร็งตับสูงกว่าผู้ที่ดื่มแอลกอฮอล์แต่ไม่มีเชื้อไวรัสตับอักเสบซีสูงถึง 6-10 เท่าเลยทีเดียว เพราะฉะนั้นหากหลีกเลี่ยงได้ ก็ควรงดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เสีย นอกจากจะช่วยให้ลดความเสี่ยงในการพัฒนาของโรคแล้ว ผู้ที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซีที่ทานยารักษาอยู่ ก็มีโอกาสหายขาดจากโรคได้มากกว่า และไม่มีการลุกลามจนเกิดโรคร้ายแรงอื่นๆ ตามมาได้ง่าย สนใจยารักษาไวรัสตับอักเสบซีติดต่อที่นี่ Line id: thaihcv

สภาวะตับอักเสบเฉียบพลัน

รูปภาพ
การดำเนินของโรค ไวรัสตับอัก เสบซี เมื่อติดเชื้อแล้ว จะเริ่มต้นด้วยสภาวะตับอักเ สบเฉียบพลัน หรือที่เรียกว่า Acute Hepatitis ผู้ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซ ีส่วนใหญ่มักจะไม่มีอาการในช่วงแรกเริ่ม หรืออาจจะมีอาการเพียงเล็กน ้อยจึงทำให้ชะล่าใจไม่ทำการรักษา  ในระยะของการเป็น ไวรัสตับอักเส บซีเฉียบพลัน แล้วนั้น ผู้ป่วย 1 ใน 4 จะมีอาการดีซ่าน คือ ตัวเหลือง ตาเหลืองอย่างเห็นได้ชัด แม้อาการนี้อาจจะดูว่าไม่มีความรุนแ รง หรือทำอันตรายใดๆ ต่อร่างกาย เพียงแค่เสียบุคลิกภาพไปเท่านั้น แต่กว่า 80-85% ของผู้ที่ติดเชื้อไวรัสตับอ ักเสบซี จะมีการดำเนินของโรคที่ เป็นไวรัสตับอักเสบซีแบบเรื้อร ังต่อเนื่องโดยไม่รู้ตัวถึง 20% และมีโอกาสเกิดภาวะ ตับแข็ง ในเวลาต่อ มา ภายในระยะเวลาไม่เกิน 20 ปีเป็นอย่างน้อยและเสี่ยงต่อการเกิด มะเร็ งตับ ได้ในที่สุด สนใจยารักษาไวรัสตับอักเสบซีติดต่อที่นี่ Line id: thaihcv

ไวรัสตับอักเสบซีในเด็กแรกเกิด

รูปภาพ
อัตราค่าการพบเชื้อ ไวรัสตับอักเสบบี ในเด็กแรกเกิดทั่วประเทศไทย พบได้น้อยลงเป็นจำนวน 3-5% จากสมัยก่อนนั้น จะพบเด็กที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีมากกว่า 12% แต่สำหรับเชื้อไวรัสตับอักเสบซีนั้นมีอัตราการติดเชื้อที่เพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ คือมากกว่า 6% โดยเชื้อ ไวรัสตับอักเสบซี สามารถพบได้ในเด็กแรกเกิดจากมารดาที่มีเลือดปนเปื้อนของเชื้ออยู่เป็นเวลานานแล้วและไม่ได้ทำการรักษาให้หายขาดหรือมีจำนวนไวรัสที่ลดน้อยลง หรือในหญิงที่มีเพศสัมพันธ์กับคนรักที่มีเชื้อไวรัสตับอักเสบซี  โดยผลสำรวจจะพบการติดเชื้อได้ถึง 5-10% เลยทีเดียวค่ะ เพราะฉะนั้นสาวๆ ที่กำลังวางแผนจะเป็นคุณแม่ในอนาคต จำเป็นจะต้องตรวจหาเชื้อไวรัสตับอักเสบซีร่วมด้วยนะคะ เพื่อหากติดเชื้อก็จะได้ทำการรักษาให้หายขาดก่อน เพื่อให้ลูกน้อยของเราปลอดภัย และดำเนินการรักษาได้อย่างทันถ้วงทีค่ะ สนใจยารักษาไวรัสตับอักเสบซีติดต่อที่นี่ Line id: thaihcv

จุดเริ่มต้น ไวรัสตับอักเสบซี

รูปภาพ
แรกเริ่มเดิมทีของการค้นพบ ไวรัสตับอักเสบซี พบว่าในอดีต มีผู้ป่วยโรคตับอักเสบกลุ่มหนึ่ง ที่วินิจฉัยกันว่าน่าจะเกิดจากเชื้อไวรัสตับอักเสบ แต่ตรวจไม่พบเชื้อที่เฉพาะเจาะจงว่าเป็น ไวรัสเอ หรือไวรัสบี โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่ได้รับบริจาคเลือดแล้ว เกิดอาการตับอักเสบขึ้น สมัยก่อนเรียกไวรัสจำพวกนี้ว่า  "Non A Non B Hepatitis" จนกระทั่ง ต่อมามีการค้นพบเชื้อไวรัสตับอักเสบซีในปี ค.ศ.1989 จึงพบว่า มากกว่า 90% ของผู้ป่วยโรคนี้ที่เคยได้รับบริจาคเลือดและเกิดอาการตับอักเสบขึ้นมาที่ไม่ใช่จากไวรัสตับอักเสบเอและไวรัสตับอักเสบบี จะเกิดจากการติดเชื้อ ไวรัสตับอักเสบซี นั่นเอง จากการศึกษาความชุกของไวรัสตับอักเสบซีในประเทศไทย ประมาณร้อยละ 2 ของผู้บริจาคเลือด (หรือประมาณ 600,000-1,000,000 คน) ของจำนวนประชากรทั่วประเทศ มีการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซี ซึ่งไวรัสตับอักเสบซีนี้สามารถพบได้ทั่วโลกและในบางประเทศอย่างเช่น ประเทศอียิปต์ มีผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบซีสูงถึงร้อยละ 20 ของจำนวนประชากรทั้งหมด โดยปัจจุบันมีผู้ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซีอยู่ประมาณ 200 ล้านคนทั่วโลก สนใจยารักษาไวรัสตับอักเสบซีติดต