ปัญหาจากโรคตับอักเสบเรื้อรังจากไวรัสซี
การเป็นโรคตับอักเสบเรื้อรังจากไวรัสซี มีปัญหาอะไรตามมาบ้าง ?
ไวรัสตับอักเสบซี มีความแตกต่างจากไวรัสตับอักเสบตัวอื่นอยู่พอสมควรนะคะ เพราะไวรัสตับอักเสบซี แทบจะไม่แสดงอาการอะไรออกมาให้เราสังเกตุเห็นง่ายๆ เมื่อได้รับเชื้อไวรัสตับอักเสบซีมาจากเลือดทำให้เกิดอาการตับอักเสบแบบเฉียบพลันชนิดที่ไม่แสดงอาการ เช่น ตาเหลือง ตัวเหลือง และตับอักเสบไม่มาก ค่าการอักเสบหรือ ALT อยู่หลักร้อยไม่ถึงหลักพันค่ะ ถึงได้เน้นย้ำว่าหากเข้าข่ายก็ต้องรีบไปตรวจ เพราะถ้าเราไม่ตรวจมันก็ไม่แสดงอาการอะไร จนเมื่อผ่านปีไปก็เริ่มเข้าสู่ระยะเรื้อรังของตับแบบเงียบๆ ไม่แสดงอาการเช่นกันค่ะ
จนกว่าจะไปหาหมอ ตรวจเลือด เช็คค่าตับ ก็จะพบค่าการอักเสบที่สูงเกินปกติไปไม่มาก (หลักสิบหรือหลักร้อย) บางผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบซี ค่าการอักเสบไม่ขึ้นเกินค่าปกติเสียด้วยซ้ำ คือไม่ขึ้นเกิน 40 IU/L ไวรัสตับอักเสบซีจะแอบแฝงอาการไปอย่างช้าๆ จนกินเวลา 10-20 ปีเลยก็เป็นได้ จึงจะเข้าสู่ระยะตับแข็งในแรกเริ่ม และก็น่าประหลาดคือมันจะไม่แสดงอาการอะไรให้เรารู้อีกเหมือนเดิมค่ะ
ตับก็แข็งมากขึ้นๆ จนผ่านไปอีกหลายปีถึงจะเข้าระยะสุดท้าย ก็เริ่มแสดงอาการ เท้าบวม ท้องบวม อาเจียนเป็นเลือด อารมณ์เปลี่ยนแปลง สับสน นอนไม่หลับ หลงลืม มีอาการติดเชื้อในช่องท้องและอื่นๆ ตามมาอีกมากมาย เมื่อตับแข็งไปแล้วผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบซี มีความเสี่ยงที่จะมีอาการลุกลามเป็นโรคมะเร็งของเนื้อตับ หรือที่เรียกว่า เฮปาโตมา (Hepatoma) ต้องไปลุ้นกันอีกทีในอัตราร้อยละ 50 ว่าจะเป็นมะเร็งระยะไหนค่ะ
หากใครที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซีอยู่แล้ว เป็นโรคอ้วน เป็นไขมันพอกตับ เป็นคนดื่มแอลกอฮอล์ เหล่านี้ล้วนแล้วแต่ช่วยในไวรัสตับอักเสบซีดำเนินโรคเร็วยิ่งขึ้นค่ะ เพราะฉะนั้นอย่ารอช้า ไปตรวจและรีบรักษา เพื่อลดความเสี่ยงของโรคแทรกซ้อนโดยเฉพาะมะเร็งตับนะคะ
ไวรัสตับอักเสบซี มีความแตกต่างจากไวรัสตับอักเสบตัวอื่นอยู่พอสมควรนะคะ เพราะไวรัสตับอักเสบซี แทบจะไม่แสดงอาการอะไรออกมาให้เราสังเกตุเห็นง่ายๆ เมื่อได้รับเชื้อไวรัสตับอักเสบซีมาจากเลือดทำให้เกิดอาการตับอักเสบแบบเฉียบพลันชนิดที่ไม่แสดงอาการ เช่น ตาเหลือง ตัวเหลือง และตับอักเสบไม่มาก ค่าการอักเสบหรือ ALT อยู่หลักร้อยไม่ถึงหลักพันค่ะ ถึงได้เน้นย้ำว่าหากเข้าข่ายก็ต้องรีบไปตรวจ เพราะถ้าเราไม่ตรวจมันก็ไม่แสดงอาการอะไร จนเมื่อผ่านปีไปก็เริ่มเข้าสู่ระยะเรื้อรังของตับแบบเงียบๆ ไม่แสดงอาการเช่นกันค่ะ
จนกว่าจะไปหาหมอ ตรวจเลือด เช็คค่าตับ ก็จะพบค่าการอักเสบที่สูงเกินปกติไปไม่มาก (หลักสิบหรือหลักร้อย) บางผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบซี ค่าการอักเสบไม่ขึ้นเกินค่าปกติเสียด้วยซ้ำ คือไม่ขึ้นเกิน 40 IU/L ไวรัสตับอักเสบซีจะแอบแฝงอาการไปอย่างช้าๆ จนกินเวลา 10-20 ปีเลยก็เป็นได้ จึงจะเข้าสู่ระยะตับแข็งในแรกเริ่ม และก็น่าประหลาดคือมันจะไม่แสดงอาการอะไรให้เรารู้อีกเหมือนเดิมค่ะ
ตับก็แข็งมากขึ้นๆ จนผ่านไปอีกหลายปีถึงจะเข้าระยะสุดท้าย ก็เริ่มแสดงอาการ เท้าบวม ท้องบวม อาเจียนเป็นเลือด อารมณ์เปลี่ยนแปลง สับสน นอนไม่หลับ หลงลืม มีอาการติดเชื้อในช่องท้องและอื่นๆ ตามมาอีกมากมาย เมื่อตับแข็งไปแล้วผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบซี มีความเสี่ยงที่จะมีอาการลุกลามเป็นโรคมะเร็งของเนื้อตับ หรือที่เรียกว่า เฮปาโตมา (Hepatoma) ต้องไปลุ้นกันอีกทีในอัตราร้อยละ 50 ว่าจะเป็นมะเร็งระยะไหนค่ะ
หากใครที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซีอยู่แล้ว เป็นโรคอ้วน เป็นไขมันพอกตับ เป็นคนดื่มแอลกอฮอล์ เหล่านี้ล้วนแล้วแต่ช่วยในไวรัสตับอักเสบซีดำเนินโรคเร็วยิ่งขึ้นค่ะ เพราะฉะนั้นอย่ารอช้า ไปตรวจและรีบรักษา เพื่อลดความเสี่ยงของโรคแทรกซ้อนโดยเฉพาะมะเร็งตับนะคะ
สนใจยารักษาไวรัสตับอักเสบซีติดต่อที่นี่
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น